ความแตกต่างระหว่าง ขายตรง-ธุรกิจเครือข่าย-แชร์ลูกโซ่
สวัสดีครับเพื่อน ๆ ทุกท่าน วันนี้โอกาสดีก็เลยขอมาอัพเดทบทความเกี่ยวกับอาชีพเสริม การหารายได้เสริม ให้กับเพื่อน ๆ เหมือนเช่นเคย ช่วงนี้ผมได้มีโอกาสศึกษาประวัติของผู้ที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจต่าง ๆ รวมถึงผู้ที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่าย ซึ่งผมก็มีความสงสัยว่า ยังมีคนอีกมากมายที่มีความคิดเกี่ยวกับธุรกิจเครือข่าย แบบผิด ๆ และเหมาเอาว่าธุรกิจเครือข่ายคือแชร์ลูกโซ่ ซึ่งผมก็ได้ไปค้นหาข้อมูลของธุรกิจเครือข่าย งานขายตรง และแชร์ลูกโซ่มาว่ามีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร
1. งานขายตรง
เรามาทำความรู้จักกันก่อนกับคำว่า "ขายตรง" ซึ่งหลายคนยังสับสนว่ามันคือธุรกิจเครือข่าย ซึ่งถ้าจะแปลความหมายก็แปลได้ตรงตัวเลยว่า มันคือการนำเอาสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ไปนำเสนอขายให้กับลูกค้าโดยตรง อย่างเช่น การนำเอาสินค้าจำพวกเครื่องสำอางที่รับมาแล้วไปขายให้โดยตรงกับลูกค้า เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการอะไรก็แล้วแต่ที่นักขายนำเอาไปขายต่อหน้าลูกค้าแบบนี้เราเรียกกันว่า "ขายตรง"
2.ธุรกิจเครือข่าย
มีหลายท่านมาถามผมว่าแล้วเราจะมีวิธีสังเกตได้อย่างไรว่านี่คือธุรกิจเครือข่าย งั้นก่อนอื่นมาทำความเข้าใจก่อนนะครับว่าธุรกิจเครือข่ายคืออะไร ธุรกิจเครือข่ายหรือ MLM (ย่อมาจาก Muti level Marketing) คือระบบการตลาดแบบหลายชั้น ธุรกิจเครือข่ายคือการนำเอา “นักขายตรง” หลายๆ คนมาต่อกันเป็นผังองค์กรตามแผนการตลาดของบริษัทนั้นๆ แล้วมีการจ่ายค่าคอมมิชชั่นเป็นชั้นๆลงมาครับ มันถึงถูกเรียกว่าการตลาดแบบหลายชั้น นั่นเอง แต่เราจะมีวิธีสังเกตยังไงล่ะ? ว่านี่คือธุรกิจเครือข่ายไม่ใช่แชร์ลูกโซ่แน่นอน
- มีใบรับรองสคบ.ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทที่จดทะเบียนถูกต้องมี สคบ.รับรองเพียงแค่ 355 บริษัทเท่านั้นนะครับ และมี 29 บริษัทเท่านั้นที่ สคบ.มอบตราสคบ.ให้เพื่อยืนยันถึงความโปร่งใส นี่เป็นกฎหมายขายตรงฉบับใหม่ซึ่งผมคิดว่าหลายๆ คนยังไม่รู้เพราะก่อนหน้านี้ที่เรายังใช้กฏหมายสคบ. ฉบับเก่าอยู่ มีบริษัทที่จดทะเบียนถูกต้อง 700 กว่าบริษัท เพราะฉะนั้นเราอย่าสับสนระหว่างใบ สคบ.ฉบับใหม่และฉบับเก่า เพราะใบเก่าถือว่าเป็นโมฆะไปหมดแล้วครับ
- และที่หลายๆ ท่านอาจจะยังไม่ทราบคือบริษัทที่ยื่นจด สคบ. นั้นจะต้องต้องส่งแผนการตลาดเพื่อให้ สคบ.ตรวจสอบแล้วว่าไม่มีการจ่ายแบบ Over-Pay หรือจ่ายเกินจริงจนบริษัทไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายไหวเพราะรายรับกับรายจ่ายจะต้องสอดคล้องกันเพื่อให้บริษัทไม่ปิดหนีแล้วเกิดปัญหาตามมาได้ในอนาคต
- มีสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพ มีการรับรองหรือมีมาตรฐานในตัวสินค้าหรือบริการนั้นๆ
- บริษัทมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่ใช่ไปเช่าตึกอยู่ครับแบบนี้มีโอกาสปิดตัวหนีสูงมาก
- มีแหล่งที่มาของรายได้ที่ชัดเจน รายได้จะต้องเกิดจากการบริโภคสินค้าหรือบริการนั้นจริงๆไม่ได้เกิดจากการแนะนำคนมาเพื่อกินหัวคิวแล้วจบๆกันไป คือเอาง่ายๆแนะนำมาแล้วเมื่อคนที่เราแนะนำมาบริโภคสินค้าหรือบริการของเราแล้วจะต้องเกิดรายได้ซ้ำเรื่อยๆได้ครับ ไม่ใช่ชวนมาสมัครแล้วได้รายได้จากค่าสมัครครั้งเดียวแล้วจบกัน
- รายได้ของคนมาทีหลังสามารถแซงคนมาก่อนกันได้
3.แชร์ลูกโซ่
เอาล่ะครับอ่านกันมาถึงตรงนี้ นี่คือประเด็นหลักของเรื่องเลยก็ว่าได้ เพราะเพื่อน ๆ หลายคนอาจสงสัยมากว่าเราจะมีวิธีสังเกตธุรกิจนี้ว่าคือ แชร์ลูกโซ่ได้ยังไง งั้นทำความเข้าใจก่อนว่าแชร์ลูกโซ่คืออะไร "แชร์ลูกโซ่" หรือที่เราเรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า (Money Game) คือธุรกิจผิดกฏหมายที่เน้นการหาคนเพื่อเอาเงินมาต่อเงินเป็นหลักนั่นเองครับ ซึ่งก็มีวิธีสังเกตได้ไม่ยากดังนี้
1.ไม่มีใบอณุญาตหรือใบรับรองอะไร หรือถ้ามีก็ปลอมหรือสร้างขึ้นมาเอง
2.ไม่มีสินค้าหรือบริการเป็นของตัวเองหรือถ้ามีก็จะเป็นสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ
3.บริษัทไม่มีหลักแหล่งที่อยู่เป็นที่แน่นอนส่วนใหญ่มักอ้างว่าบริษัทอยู่ที่ต่างประเทศ
4.รายได้เกิดจากการกินหัวคิวหรือการแนะนำคนใหม่ได้จะไม่มีการซื้อหรือบริโภคสินค้าหรือบริการนั้นซ้ำแต่อย่างใด (ต่างกับธุรกิจเครือข่ายที่ตรงนี้)
5.ส่วนใหญ่มักอ้างว่าเป็นธุรกิจต่างชาติมาเปิดตลาดในประเทศไทย
6.มักจะอ้างว่าลงเงินมาแล้วไม่ต้องทำอะไรรอเงินปันผลเป็นรายวัน 90วันหรือ 120 วันเป็นต้น
7.มักเน้นในเรื่องของการจ่ายแบบ Over-Pay เช่น ลงทุน 90,000 บาทได้ทอง 10 บาท และได้ปันผลวันล่ะ 1,500 บาท จนครบ 90 วัน ซึ่งรายรับและรายจ่ายของบริษัทไม่สอดคล้องกันแบบนี้เป็นต้น
สรุป ธุรกิจเครือข่ายและขายตรงรายได้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขนาดขององค์กรที่นักธุรกิจคนนั้นๆ เป็นคนสร้างและไม่ต้องไปเชื่อที่บอกว่าลงเงินมาแล้วไม่ต้องทำอะไรนอนรับเงินสบายๆ เพราะนักธุรกิจเครือข่ายที่ประสบความสำเร็จทุกคนเขาเหนื่อยมาก จนถึงเหนื่อยสุดชีวิตกว่าจะสร้างองค์กรและมีรายได้มากขนาดนั้น ซึ่งผมกล้าพูดเลยว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คุณคิดแน่นอนครับ
