จากไอเดีย “สุจิตร์ คงสิริพรชัย” แต่งโฉม “น้ำเต้าหู้” ให้กลายเป็นธุรกิจแฟรนไชส์น้องใหม่ ภายใต้แบรนด์ “หมวยเกี๊ยน้ำเต้าหู้” ด้วยการชูจุดเด่นเน้นภาพความเป็นจีนดูน่ารักสดใส
พร้อมด้วยเมนูสูตรเพื่อสุขภาพ ชี้ เสน่ห์ธุรกิจน้ำเต้าหู้ลงทุนต่ำกำไรสูง สุจิตร์ คงสิริพรชัย เจ้าของแฟรนไชส์ “หมวยเกี๊ยน้ำเต้าหู้” เล่าว่า ส่วนตัวเป็นคนรักสุขภาพ จะต้มน้ำเต้าหู้ทานเองมานาน ซึ่งจะผสมแครอท เพื่อช่วยเสริมคุณค่าอาหารด้วย ซึ่งก็ทำทานกันเองในครอบครัว ไม่เคยคิดจับเป็นธุรกิจ เพราะมีงานหลัก คือ ทำเสื้อผ้าสำเร็จรูปส่งขายทั่วประเทศ ทว่า จากภาวะยอดขายตก เพราะถูกจีนเข้ามาตีตลาด จึงต้องการหารายได้เสริม เลยมองที่น้ำเต้าหู้ ซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ราคาถูก เหมาะกับผู้บริโภคทุกกลุ่ม และเข้ากับกระแสที่คนหันมาใส่ใจดูแลตัวเองมากขึ้น
ทว่าจะขายน้ำเต้าหู้แบบทั่วๆ ไป ก็ไร้จุดเด่น เธอจึงวางแนวทางด้วยการชูภาพลักษณ์แบบจีน ออกแบบรถเข็นให้มีสีแดงสดใส ดึงดูดลูกค้าให้เกิดความสนใจ ร่วมกับเน้นเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ ด้วยการคิดเมนูต่างๆ ให้สอดคล้องกัน โดยมี 3 เมนู ได้แก่ น้ำเต้าหู้แบบต้นตำรับ ซึ่งเป็นถั่วเหลือง 100% ไม่ผสมแป้ง , น้ำเต้าหู้แครอทที่มีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยป้องกันมะเร็ง กับทำให้ผิวสวย และน้ำเต้าหู้ข้าวกล้องงาดำ ช่วยบำรุงกระดูก นอกจากนี้ ยังเสริมด้วย หมวยเกี๊ยปาท่องโก๋ เป็นสูตรพิเศษผสมธัญพืชเข้ากับแป้งปาท่องโก๋ ส่วนชื่อการค้า และโลโก้ เธอเป็นคนวางแนวทางเองเช่นกัน สื่อถึงตัวเองเป็นลูกสาวชาวจีน ถ่ายทอดออกมาให้ดูน่ารัก มีหน้าตายิ้มแย้มสดใส เชิญชวนลูกค้า และมีอักษรจีนประกอบ ที่มีความหมายถึงการประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ เป็นการอวยพรให้แก่ตัวเอง “ถ้าลูกค้าเดินมา แล้วเห็นรถเข็นธรรมดา หม้อเก่าๆ เขาก็ไม่แวะ เราจึงต้องทำรถให้เด่น ดึงลูกค้าเข้ามาก่อน และขั้นต่อไป เมื่อเขาได้ชิมแล้ว ต้องให้เขารู้สึกถึงความแตกต่างจากน้ำเต้าหู้เจ้าอื่นๆ ถ้ามันอร่อย ต่อไปลูกค้าก็จะจดจำได้ว่า รถเข็นสีแดงๆ อย่างนี้ ยี่ห้อนี้ รสชาติอร่อย จะกลับมาซื้ออีก ลูกค้าก็จะอยู่กับเรานาน”
หมวยเกี๊ยน้ำเต้าหู้ เริ่มออกวางขายครั้งแรกเดือนพฤษภาคม 2547 ที่ตลาดบางแค ตั้งราคาขายเท่าท้องตลาด คือ น้ำเต้าหู้ธรรมดา ถุงละ 5 บาท ใส่เครื่อง 6 บาท ส่วนสูตรแครอท , ข้าวกล้องงาดำ ถุงละ 7 บาท ปาท่องโก๋ธัญพืช+สังขยา ชุดละ 20 บาท ซึ่งผลตอบรับเกินคาด วันแรกเริ่มขาย 4 โมงเย็นถึง 2 ทุ่มก็หมด มียอดขาย 3,000 กว่าบาท ซึ่งเมื่อหักต้นทุนแล้ว กำไรก็ยังงาม เพราะต้นทุนเฉลี่ยแล้ว ต่อแก้วไม่ถึง 2 บาทด้วยซ้ำ ต่อมา ได้ขยายเพิ่มอีก 3 สาขา ได้แก่ จรัญสนิทวงศ์ สาธุประดิษฐ์ และถนนเซ็นต์หลุยส์ ซึ่งความตั้งใจแรก จะขยายด้วยตัวเอง 20 จุด ทว่า เมื่อมีหลายสาขา เธอไม่สามารถดูแลทั่วถึง ประกอบกับต้องดูแลธุรกิจเสื้อผ้าอยู่ด้วย ต้องจ้างพนักงานขาย ยอดขายแต่ละแห่งจึงต่ำลงเหลือวันละ 2,000 กว่าบาท ทำให้เกิดแนวคิดขยายในรูปแบบของแฟรนไชส์ เพราะถ้าผู้ดูแลเป็นเจ้าของเอง ย่อมใส่ใจมากกว่าพนักงาน
สุจิตร์ อธิบายว่า แฟรนไชส์ ลงทุนเพียง 35,000 บาท ได้รับรถเข็นพร้อมอุปกรณ์ครบชุด จะการอบรมวิธีทำให้ 2 วัน มีข้อกำหนดว่า ผู้ซื้อแฟรนไชส์ต้องรับวัตถุดิบ เช่น ถั่วเหลือง แป้งปาท่องโก๋ และอื่นๆ จากเราเท่านั้น เพื่อเป็นการควบคุมคุณภาพ โดยวิธีทำหลังจากรับวัตถุดิบไปแล้ว เพียงใส่ตามสูตรกำหนดไว้ ก็จะได้รับน้ำเต้าหู้ที่มีรสชาติ และคุณสมบัติเหมือนต้นตำรับ ทั้งนี้ การสั่งวัตถุดิบ ต่อครั้งกำหนดยอดไม่ต่ำกว่า 5,000 บาท โดยให้สั่ง 2 ครั้งต่อเดือน เธอ เผยต่อว่า จุดเด่นของแฟรนไชส์นี้ คือ การลงทุนต่ำ กำไรสูง คืนทุนเร็วภายใน 1 เดือน และไม่ต้องขายทั้งวัน เพราะน้ำเต้าหู้จะขายได้เฉพาะช่วงเช้า และค่ำ ดังนั้น จะเป็นช่องทางให้คนที่ทำงานประจำซื้อไปทำเป็นอาชีพเสริมได้ ทั้งนี้ เป้าที่วางไว้ จะขยาย 200 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งหลังจากเปิดตัวแฟรนไชส์เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มียอดจองแล้วกว่า 50 ราย แต่ทั้งนี้ จะให้ความสำคัญกับการคัดเลือกผู้ร่วมทุนให้มากที่สุด เพราะไม่อยากให้แบรนด์ที่สร้างขึ้นมาต้องเสียไป ส่วนการคุมแฟรนไชส์ จะมีทีมงานคอยสุ่มตรวจ เฉลี่ยเดือนละ 1-2 ครั้ง ถ้าทำผิดข้อตกลง และได้ออกหนังสือเตือน 3 ครั้งแล้ว จะถูกยกเลิกสัญญาทัน
“การทำธุรกิจแฟรนไชส์จะเน้นให้ง่ายที่สุด จริงใจกับผู้ลงทุน กฎต่างๆที่ตั้งไว้ก็เพื่อเป็นกรอบ แต่ก็พูดคุยกันได้ 35,000 บาท เราไม่ได้บวกกำไรเลย แต่เราหวังที่จะขายวัสดุดิบ ซึ่งคนที่จะมาลงทุน ขอแค่เขาใส่ใจธุรกิจตัวเอง และอย่าซื้อถั่วเหลือง แป้งที่อื่นมาใช้ เพราะจะทำให้รสชาติ และชื่อเสียงเสีย เขาก็เสีย เราก็เสีย ดิฉันจึงตั้งใจจะคัดเลือกผู้ร่วมทุนให้ดีที่สุด ผู้เชี่ยวชาญภาครัฐที่เราเข้าไปปรึกษา ก็บอกว่า แบรนด์เรามีอนาคตนะ ดังนั้น ต้องพยายามรักษาคุณภาพแฟรนไชส์ให้ได้” ทั้งนี้ แผนต่อไป จะเพิ่มเมนูน้ำเต้าหู้ชาเขียวด้วย และสำหรับผู้จะทำธุรกิจนี้ ให้ประสบความสำเร็จ เธอบอกเคล็ดลับว่า
1. ต้องพูดจาสุภาพ ยิ้มแย้ม และสามารถแนะนำประโยชน์ของเมนูต่างๆ ได้
2. ต้องรักษาความสะอาด ทั้งของรถเข็น และวัตถุดิบ และ
3. ต้องรักษาคุณภาพของรสชาติ ไม่ดัดแปลงสูตร จะทำให้ได้ลูกค้าขาประจำ
ธุรกิจแฟรนไชส์ หมวยเกี๊ยน้ำเต้าหู้
- เงินลงทุน 35,000 บาท ชำระครั้งเดียวในวันทำสัญญา
-ต้องสั่งวัตถุดิบตามข้อตกลงจากสำนักงานเท่านั้น
-ทำเลต้องห่างจากเจ้าเดิมไม่ต่ำกว่า 500 เมตร
สนใจโทร. 0-1613-5949
ที่มา www.manager.co.th
ไปหน้าแรก อาชีพเสริมรายได้ดี
พร้อมด้วยเมนูสูตรเพื่อสุขภาพ ชี้ เสน่ห์ธุรกิจน้ำเต้าหู้ลงทุนต่ำกำไรสูง สุจิตร์ คงสิริพรชัย เจ้าของแฟรนไชส์ “หมวยเกี๊ยน้ำเต้าหู้” เล่าว่า ส่วนตัวเป็นคนรักสุขภาพ จะต้มน้ำเต้าหู้ทานเองมานาน ซึ่งจะผสมแครอท เพื่อช่วยเสริมคุณค่าอาหารด้วย ซึ่งก็ทำทานกันเองในครอบครัว ไม่เคยคิดจับเป็นธุรกิจ เพราะมีงานหลัก คือ ทำเสื้อผ้าสำเร็จรูปส่งขายทั่วประเทศ ทว่า จากภาวะยอดขายตก เพราะถูกจีนเข้ามาตีตลาด จึงต้องการหารายได้เสริม เลยมองที่น้ำเต้าหู้ ซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ราคาถูก เหมาะกับผู้บริโภคทุกกลุ่ม และเข้ากับกระแสที่คนหันมาใส่ใจดูแลตัวเองมากขึ้น
ทว่าจะขายน้ำเต้าหู้แบบทั่วๆ ไป ก็ไร้จุดเด่น เธอจึงวางแนวทางด้วยการชูภาพลักษณ์แบบจีน ออกแบบรถเข็นให้มีสีแดงสดใส ดึงดูดลูกค้าให้เกิดความสนใจ ร่วมกับเน้นเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ ด้วยการคิดเมนูต่างๆ ให้สอดคล้องกัน โดยมี 3 เมนู ได้แก่ น้ำเต้าหู้แบบต้นตำรับ ซึ่งเป็นถั่วเหลือง 100% ไม่ผสมแป้ง , น้ำเต้าหู้แครอทที่มีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยป้องกันมะเร็ง กับทำให้ผิวสวย และน้ำเต้าหู้ข้าวกล้องงาดำ ช่วยบำรุงกระดูก นอกจากนี้ ยังเสริมด้วย หมวยเกี๊ยปาท่องโก๋ เป็นสูตรพิเศษผสมธัญพืชเข้ากับแป้งปาท่องโก๋ ส่วนชื่อการค้า และโลโก้ เธอเป็นคนวางแนวทางเองเช่นกัน สื่อถึงตัวเองเป็นลูกสาวชาวจีน ถ่ายทอดออกมาให้ดูน่ารัก มีหน้าตายิ้มแย้มสดใส เชิญชวนลูกค้า และมีอักษรจีนประกอบ ที่มีความหมายถึงการประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ เป็นการอวยพรให้แก่ตัวเอง “ถ้าลูกค้าเดินมา แล้วเห็นรถเข็นธรรมดา หม้อเก่าๆ เขาก็ไม่แวะ เราจึงต้องทำรถให้เด่น ดึงลูกค้าเข้ามาก่อน และขั้นต่อไป เมื่อเขาได้ชิมแล้ว ต้องให้เขารู้สึกถึงความแตกต่างจากน้ำเต้าหู้เจ้าอื่นๆ ถ้ามันอร่อย ต่อไปลูกค้าก็จะจดจำได้ว่า รถเข็นสีแดงๆ อย่างนี้ ยี่ห้อนี้ รสชาติอร่อย จะกลับมาซื้ออีก ลูกค้าก็จะอยู่กับเรานาน”
หมวยเกี๊ยน้ำเต้าหู้ เริ่มออกวางขายครั้งแรกเดือนพฤษภาคม 2547 ที่ตลาดบางแค ตั้งราคาขายเท่าท้องตลาด คือ น้ำเต้าหู้ธรรมดา ถุงละ 5 บาท ใส่เครื่อง 6 บาท ส่วนสูตรแครอท , ข้าวกล้องงาดำ ถุงละ 7 บาท ปาท่องโก๋ธัญพืช+สังขยา ชุดละ 20 บาท ซึ่งผลตอบรับเกินคาด วันแรกเริ่มขาย 4 โมงเย็นถึง 2 ทุ่มก็หมด มียอดขาย 3,000 กว่าบาท ซึ่งเมื่อหักต้นทุนแล้ว กำไรก็ยังงาม เพราะต้นทุนเฉลี่ยแล้ว ต่อแก้วไม่ถึง 2 บาทด้วยซ้ำ ต่อมา ได้ขยายเพิ่มอีก 3 สาขา ได้แก่ จรัญสนิทวงศ์ สาธุประดิษฐ์ และถนนเซ็นต์หลุยส์ ซึ่งความตั้งใจแรก จะขยายด้วยตัวเอง 20 จุด ทว่า เมื่อมีหลายสาขา เธอไม่สามารถดูแลทั่วถึง ประกอบกับต้องดูแลธุรกิจเสื้อผ้าอยู่ด้วย ต้องจ้างพนักงานขาย ยอดขายแต่ละแห่งจึงต่ำลงเหลือวันละ 2,000 กว่าบาท ทำให้เกิดแนวคิดขยายในรูปแบบของแฟรนไชส์ เพราะถ้าผู้ดูแลเป็นเจ้าของเอง ย่อมใส่ใจมากกว่าพนักงาน
สุจิตร์ อธิบายว่า แฟรนไชส์ ลงทุนเพียง 35,000 บาท ได้รับรถเข็นพร้อมอุปกรณ์ครบชุด จะการอบรมวิธีทำให้ 2 วัน มีข้อกำหนดว่า ผู้ซื้อแฟรนไชส์ต้องรับวัตถุดิบ เช่น ถั่วเหลือง แป้งปาท่องโก๋ และอื่นๆ จากเราเท่านั้น เพื่อเป็นการควบคุมคุณภาพ โดยวิธีทำหลังจากรับวัตถุดิบไปแล้ว เพียงใส่ตามสูตรกำหนดไว้ ก็จะได้รับน้ำเต้าหู้ที่มีรสชาติ และคุณสมบัติเหมือนต้นตำรับ ทั้งนี้ การสั่งวัตถุดิบ ต่อครั้งกำหนดยอดไม่ต่ำกว่า 5,000 บาท โดยให้สั่ง 2 ครั้งต่อเดือน เธอ เผยต่อว่า จุดเด่นของแฟรนไชส์นี้ คือ การลงทุนต่ำ กำไรสูง คืนทุนเร็วภายใน 1 เดือน และไม่ต้องขายทั้งวัน เพราะน้ำเต้าหู้จะขายได้เฉพาะช่วงเช้า และค่ำ ดังนั้น จะเป็นช่องทางให้คนที่ทำงานประจำซื้อไปทำเป็นอาชีพเสริมได้ ทั้งนี้ เป้าที่วางไว้ จะขยาย 200 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งหลังจากเปิดตัวแฟรนไชส์เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มียอดจองแล้วกว่า 50 ราย แต่ทั้งนี้ จะให้ความสำคัญกับการคัดเลือกผู้ร่วมทุนให้มากที่สุด เพราะไม่อยากให้แบรนด์ที่สร้างขึ้นมาต้องเสียไป ส่วนการคุมแฟรนไชส์ จะมีทีมงานคอยสุ่มตรวจ เฉลี่ยเดือนละ 1-2 ครั้ง ถ้าทำผิดข้อตกลง และได้ออกหนังสือเตือน 3 ครั้งแล้ว จะถูกยกเลิกสัญญาทัน
“การทำธุรกิจแฟรนไชส์จะเน้นให้ง่ายที่สุด จริงใจกับผู้ลงทุน กฎต่างๆที่ตั้งไว้ก็เพื่อเป็นกรอบ แต่ก็พูดคุยกันได้ 35,000 บาท เราไม่ได้บวกกำไรเลย แต่เราหวังที่จะขายวัสดุดิบ ซึ่งคนที่จะมาลงทุน ขอแค่เขาใส่ใจธุรกิจตัวเอง และอย่าซื้อถั่วเหลือง แป้งที่อื่นมาใช้ เพราะจะทำให้รสชาติ และชื่อเสียงเสีย เขาก็เสีย เราก็เสีย ดิฉันจึงตั้งใจจะคัดเลือกผู้ร่วมทุนให้ดีที่สุด ผู้เชี่ยวชาญภาครัฐที่เราเข้าไปปรึกษา ก็บอกว่า แบรนด์เรามีอนาคตนะ ดังนั้น ต้องพยายามรักษาคุณภาพแฟรนไชส์ให้ได้” ทั้งนี้ แผนต่อไป จะเพิ่มเมนูน้ำเต้าหู้ชาเขียวด้วย และสำหรับผู้จะทำธุรกิจนี้ ให้ประสบความสำเร็จ เธอบอกเคล็ดลับว่า
1. ต้องพูดจาสุภาพ ยิ้มแย้ม และสามารถแนะนำประโยชน์ของเมนูต่างๆ ได้
2. ต้องรักษาความสะอาด ทั้งของรถเข็น และวัตถุดิบ และ
3. ต้องรักษาคุณภาพของรสชาติ ไม่ดัดแปลงสูตร จะทำให้ได้ลูกค้าขาประจำ
ธุรกิจแฟรนไชส์ หมวยเกี๊ยน้ำเต้าหู้
- เงินลงทุน 35,000 บาท ชำระครั้งเดียวในวันทำสัญญา
-ต้องสั่งวัตถุดิบตามข้อตกลงจากสำนักงานเท่านั้น
-ทำเลต้องห่างจากเจ้าเดิมไม่ต่ำกว่า 500 เมตร
สนใจโทร. 0-1613-5949
ที่มา www.manager.co.th
ไปหน้าแรก อาชีพเสริมรายได้ดี