1. ปัญหาของอุตสากรรมขนาดกลางและย่อมด้านการตลาด
ระยะปัจจุบัน
- ความต้องการลดลงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย เพราะพึ่งพาตลาดภายในประเทศเป็นสำคัญ และในบางอุตสาหกรรมจะรับจ้างหรือทำตามใบสั่งซื้อจากบริษัทขนาดใหญ่เป็นส่วนมาก
- ไม่สามารถปรับราคาสินค้าเพิ่มเท่าต้นทุนที่สูงขึ้นได้
ระยะปานกลาง
- ผู้ประกอบการมีโอกาสวางสินค้าในท้องตลาดได้โดยตรงได้น้อย เนื่องจากเป็นการผลิตตามใบสั่งซื้อที่มีความแน่นอนกว่า และไม่ต้องลงทุนด้านการตลาดมาก
ระยะยาว
- การแยกตัวออกเป็นอิสระจากบริษัทขนาดใหญ่และการวางสินค้าในตลาดอย่างเป็นระบบคงไม่เกิด ถ้าปราศจากการรวมตัวเพื่อลดต้นทุนการจัดการทางการตลาด
2. ด้านสภาพคล่องเงินทุนหมุนเวียน
ระยะปัจจุบัน
- ขาดเงินทุนหมุนเวียนมากและดอกเบี้ยสูง เพราะเงินทุนหมุนเวียนมาจากวงเงิน OD จากธนาคารพาณิชย์ และสินเชื่อจากบริษัทเงินทุน (60%) และสินเชื่อทางการค้า (tread credit) (20%) การที่สถาบันการเงินไม่ยอมปล่อยสินเชื่อและปัญหาการระบายสินค้าของบริษัทขนาดใหญ่และการเรียกเก็บเงินจากลูกค้าได้ช้า จึงส่งผลกระทบรุนแรง
ระยะปานกลาง
- แหล่งเงินทุนยังขึ้นอยู่กับสภาพคล่องของบริษัทขนาดใหญ่ สินทรัพย์ค้ำประกัน (collateral) และนโยบายสถาบันการเงิน
เงินลงทุน
ระยะปัจจุบัน
- ขาดแคลนเงินทุนเพื่อใช้พัฒนาเทคโนโลยีและวิจัย
- มีการกู้ยืมเงินเกินตัวและไม่มีวินัยในการใช้เงิน
ระยะปานกลาง
- เงินทุนส่วนใหญ่มาจากสถาบันการเงิน ซึ่งขึ้นกับภาวะราคาหลักทรัพย์
ระยะยาว
- ไม่มีการพึ่งตลาดเงินอื่น นอกจากธนาคารพาณิชย์ และบริษัทเงินทุน กับเงินทุนจากกลุ่มเจ้าของกิจการ
3. ด้านการผลิต
ระยะปัจจุบัน
- ต้นทุนการผลิตสูงทั้งวัตถุดิบ ค่าน้ำและค่าไฟ และมีปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบบางประเภท
- โครงสร้างภาษีวัตถุดิบไม่เหมาะสม
- การผลิตใช้เทคนิคเบื้องต้นที่ไม่ซับซ้อน ทำให้คุณภาพต่ำ ถ้าเป็นกิจการที่รับใบสั่งซื้อมาจากบริษัทขนาดใหญ่จะใช้วิธีการผลิตตามที่กำหนดมา ไม่สามารถพัฒนาเทคนิคเองได้
ระยะปานกลาง
- การพัฒนาเทคนิคการผลิตไม่มีเนื่องจากทิศทางของการขายผลผลิตไม่เป็นตัวของตัวเอง
- ขาดการส่งเสริมการผลิตจากภาครัฐ
ระยะยาว
- การพัฒนาฝีมือแรงงานและเทคโนโลยีไม่เกิดขึ้น เพราะผลตอบแทนของแต่ละกิจการ จากการพัฒนาไม่แน่นอน จากการเคลื่อนย้ายแรงงาน ต้นทุนในการพัฒนาสูง และขาดวิสัยทัศน์
4. ด้านการจัดการ
ระยะปัจจุบัน
- ยังยึดติดกับระบบการจัดการแบบครอบครัว รวมไปถึงระบบบัญชีที่ไม่มีคุณภาพนำไปสู่ความยากลำบากที่จะเสนองบการเงินที่ถูกต้องแก่สถาบันการเงินเพื่อขอสินเชื่อ
5. ด้านการส่งออก
ระยะปัจจุบัน
- มีปัญหาขาดตู้ Container รวมทั้งระเบียนในการส่งออกยุ่งยาก ตลอดทั้งการคืนภาษีช้า
- ไม่สามารถทำการส่งออกได้โดยตรง เนื่องจากปัญหาด้านการหาตลาดและคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐานสากล ผู้ส่งออกบางรายทำธุรกิจการส่งออกทางอ้อม (Indirect Export) จึงไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อเพื่อการส่งออกได้ และขาดอำนาจการต่อรอง
ระยะปานกลาง
- อุตสาหกรรมขนาดย่อมยังคงขาดศักยภาพในการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์เพื่อการส่งออก ถ้าปราศจากความช่วยเหลือ
ระยะยาว
- ขาดการรวมกลุ่มเพื่อพัฒนาผลผลิต และขยายตลาดส่งออก
6. ด้านอื่นๆ
ระยะปัจจุบัน
- ขาดการส่งเสริมให้หน่วยราชการหันมาใช้สินค้าไทย
- ขาดแคลนแรงงานที่ชำนาญงานเนื่องจากมีการ Tumover ไปสู่โรงงานขนาดใหญ่
7. การแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อมด้านการตลาด
- เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่อาศัยความต้องการภายในประเทศเป็นหลัก และศักยภาพที่จะเปลี่ยนไปสู่การส่งออกนั้นน้อย เพราะฉะนั้นจะต้องกระตุ้นความต้องการภายในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะในส่วนของการใช้จ่ายภาครัฐบาล
- ให้ความช่วยเหลือทางการเงินผ่านองค์กรของรัฐ เพื่อจัดจ้างที่ปรึกษาการตลาดในการขายและเจาะตลาดใหม่ ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ ตลาดอินโดจีน อาฟริกา และอเมริกาใต้
8. ด้านเงินทุนหมุนเวียน
หากความต้องการภายในประเทศสูงขึ้น จะช่วยให้สภาพคล่องส่วนหนึ่งของธุรกิจกลับมาจาก trade credit จากบริษัทใหญ่ แต่ปัญหาสภาพคล่องส่วนที่มาจากสถาบันการเงินคงยังมีอยู่จากปัญหา NPL และความไม่พร้อมของกลไกสถาบันการเงินของรัฐ เช่น บรรษัทอุตสาหกรรมขนาดย่อม (บอย.) ที่จะขยายขอบเขตการดำเนินงานภายในเวลารวดเร็ว การเพิ่มสถาพคล่องแก่อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมผ่านสถาบันการเงินของรัฐและเอกชน มีวิธีการที่ประเทศต่าง ๆ ใช้ดังนี้
- ลดสภาพความเสี่ยงแก่สินเชื่อที่มีที่ดินค้ำประกันลง
- อุดหนุนการให้กู้แก่อุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อมโดยลดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืม
- รัฐค้ำประกันเงินกู้บางส่วนที่ให้แก่อุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อม (สหรัฐฯ ประกัน 75% แก่สินเชื่อที่ให้อุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อมที่ผลิตเพื่อส่งออก)
- เพิ่มวงเงินแก่บรรษัทสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ในการค้ำประกันสินเชื่อให้กับอุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อมที่มีการบริหารและการจัดการที่ดี
- จัดตั้งกองทุนหมุนเวียนเพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อม เป็นกรณีพิเศษจากภาครัฐ เนื่องจาก อุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อมไม่สามารถพึ่งพากลไกปกติของสถาบันการเงินได้ จำเป็นต้องอาศัยกลไกของรัฐ เช่น กระทรวงอุตสาหกรรมที่มีสำนักงานทั่วประเทศ หรือธนาคารกรุงไทย ธ.ก.ส. หรือ 4 ธนาคารที่รัฐเข้าไปถือหุ้นเป็นกลไกที่จะนำกองทุนฟื้นฟูกระจายไปสู่ภูมิภาค ทั้งนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจสนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ อย่างไรก็ตามแม้จะมีนโยบายอัดฉีดเม็ดเงินใหม่ให้อุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อม แต่ถ้าไม่มีการพิจารณาการยืดอายุหนี้แล้ว อุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อมจะไม่สามารถนำเม็ดเงินใหม่ไปฟื้นฟูกิจการได้ จึงจำเป็นต้องมีการปรับโครงสร้างหนี้ควบคู่กันไปด้วย ซึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือผู้ประกอบการ 265 รายได้เจรจาปรับโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงินแล้ว
อ้างอิง: sme.go.th
Tag :
เกร็ดความรู้ทั่วไป
,
เกร็ดความรู้ SMEs