แม้จะเป็นแบรนด์ที่ไม่ได้เป็นหน้าใหม่ในวงการเสียทีเดียว แต่การที่มิสเตอร์ บัน ประกาศลุยตลาดอย่างชัดเจน หลังจากที่ได้ทำการบ้านมาอย่างหนักในช่วง 5 ปี ตั้งแต่เริ่มต้นกิจการ ทำให้วันนี้ แบรนด์ขนมที่เริ่มต้นจากรสชาติความอร่อยของมิสเตอร์ บัน แปลงร่างกลายเป็นแบรนด์แห่งศิลปะความอร่อยของขนมปัง พร้อมกลยุทธ์การตลาดที่พร้อมลุยในตลาดแฟรนไชส์
คุณอนุสรณ์ ตันยากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บัน จำกัด ผู้นำพาเอาประสบการณ์จากการทำร้านอาหารแบบหลายสาขามาบวกกับเอกลักษณ์ในตัวของมิสเตอร์ บัน ที่พร้อมจะเสิร์ฟความอร่อยให้ลูกค้าด้วยคอนเซ็ปต์ของร้านที่ชัดเจนขึ้น รูปลักษณ์ร้านสีส้ม กับโลโก้ ขนมปังตัวกลม โอบอุ้มสินค้ากว่า 25 ชนิด ที่พร้อมเสิร์ฟให้ลูกค้าได้อิ่มอร่อย
“แนวคิด Mr.Bun Transformation ที่จะถูกนำมาใช้ตลอด 5 ปี ตั้งแต่ปี 2554-2559 มุ่งเน้นความสำคัญในการพัฒนาธุรกิจ ซึ่งเป็นกุญแจไขความสำเร็จ 2 ส่วนหลัก คือ ด้านผลิตภัณฑ์ Product Excellence ที่จะพัฒนาอย่างเด่นชัด สู่การเป็น Bunnovation (bun+innovation)โดยมีเป้าหมายด้านสินค้า 4 ด้าน คือ ความมีเอกลัษณ์ของสินค้า , เป็นมิตรกับสุขภาพ , คุ้มค่าและหลากหลายและคัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ พร้อมทั้งเพิ่มสินค้ากลุ่มพรีเมี่ยมจากเดิมที่มีแต่สินค้าหลักและสินค้าเด่นของแบรนด์ ส่วนด้านการบริหารการตลาดเน้นการขยายสาขาสู่ธุรกิจแฟรนไชส์เป็น Franchise Excellence ซึ่งมีแผนการสนับสนุนทางการตลาดเพื่อผลักดันยอดขายอย่างต่อเนื่อง”
จากฐานลูกค้าในปัจจุบัน 6-7 แสนคน คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีฐานลูกค้าเพิ่มเป็น 1 ล้านคนต่อเดือน ยอดซื้อราวคนละ 60-70 บาท ราคาขนมในร้านเฉลี่ย 10-20 บาท ซึ่งการปรับตัวเองไปสู่การเป็น Bunnovation พร้อมเป้าหมายด้านสินค้าทำให้มิสเตอร์ บัน ขยายกลุ่มสินค้าให้มีทั้งเบเกอรี่ บันวิช (บัน+แซนด์วิช) ซึ่งนำเอาขนมปังก้อนกลมหรือครัวซ็องมาทำแซนด์วิช รวมถึงมีเครื่องดื่มมอลต์เพิ่มเข้ามาด้วย อีกทั้งยังได้มีการเตรียมการเพื่อรองรับความเติบโต โดยมีศูนย์พัฒนาสินค้าแช่แข็ง ซึ่งมีกำลังการผลิตกว่า 1.5-1.9 แสนชิ้น
การปรับปรุงแบรนด์ของมิสเตอร์ บัน ผ่าน 5 ด้าน ที่สำคัญในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเพื่อสร้างฐานความแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นด้านการสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์ รูปแบบร้าน การพัฒนาสินค้า การพัฒนาศูนย์การผลิตให้มีกำลังการผลิตมากขึ้น และการขยายสาขาแฟรนไชส์ ทำให้มิสเตอร์ บัน สามารถที่จะเปิดให้ลงทุนด้านแฟรนไชส์ได้ 2 รูปแบบ คือ
1.Happy Franchise แฮปปี้แฟรนไชส์เป็นการซื้อร้านเดิมที่บริษัทดำเนินกิจการอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งทางบริษัทฯ เปิดให้ซื้อสาขาได้ปีละ 3-4 แห่ง เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจมาก่อน ใช้เงินลงทุนขั้นต่ำ 1 ล้านบาท
2.Yummy Franchise แฟรนไชส์อิ่มอร่อย ใช้เงินลงทุน 1-2.5 ล้านบาท มีค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ 300,000 บาท และค่ารอยัลตี้ฟี 5% ของยอดขายรายเดือน ซึ่งเงินลงทุนขึ้นอยู่กับการตกแต่งและขนาดพื้นที่ของร้าน เหมาะกับผู้ที่เคยมีประสบการณ์ในการทำธุรกิจมาระยะหนึ่งแล้ว
คุณอนุสรณ์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้านความช่วยเหลือแฟรนไชซีว่า “เรามีการเตรียมแผนการพัมนาแฟรนไชส์ เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งอย่างต่อเนื่อง อาทิ การจัดอบรมทางด้านการให้บริการและการผลิตแก่พนักงาน การอบรมด้านธุรกิจให้เจ้าของกิจการ พร้อมกันนั้นยังมีทีมที่ปรึกษาทางโทรศัพท์ หรือ Bun support center ที่จะคอยให้คำปรึกษาด้านธุรกิจแก่ลูกค้าแฟรนไชส์ในทุก ๆ ด้านตลอดเวลาโดยเมื่อตกลงเซ็นสัญญาเป็นแฟรนไชซีแล้ว จะมีการอบรมให้กับเจ้าของร้านและพนักงานร้าน ทั้งส่วนที่เป็นทฤษฎีและปฏิบัต ด้านสินค้า การขาย การดูแลสต๊อก การดูแลพนักงาน ยอดขาย การส่งเสริมการขาย มีทีมไปช่วยเมื่อเปิดร้าน”
ประมาณการคืนทุนทั้งสองแบบมีความแตกต่างกันเล็กน้อย โดยประมาณการคืนทุนจะอยู่ที่ประมาณ 8-15 เดือน สำหรับแบบแฮปปี้แฟรนไชส์ และระยะเวลาคืนทุนประมาณ 6-12 เดือน สำหรับแบบแฟรนไชส์อิ่มอร่อย ซึ่งบางแห่งก็สามารถที่จะคืนทุนได้เร็วกว่านั้น และยังมียอดขายดีขึ้นมากกว่าที่ทางบริษัทฯ เป็นผู้ดูแลร้าน คุณอนุสรณ์ กล่าว
“สำหรับตรที่จะเป็นแฟรนไชซี ความมุ่งมั่นอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ จะต้องทุ่มเทจริง ธุรกิจนี้เกี่ยวข้องกับรายละเอียดเยอะ แต่ทั้งนี้บริษัทฯ เองจะต้องขยายสาขาควบคู่ไปกับการดูแลร้านด้วย คิดว่าแฟรนไชส์อาจดูแลร้านสาขาได้ดีกว่า บางแห่งที่ขายร้านาให้กับแฟรนไชส์ไปดูแลมียอดขายที่เติบโตมาก อาทิ ที่เดอะมอลล์ โคราช และจันทบุรี” คุณอนุสรณ์ กล่าว
ปัจจุบันมีสาขาเปิดแล้ว 82 แห่ง โดยคุณอนุสรณ์คาดว่าสิ้นปี 2554 จะถึง 100 สาขาและธุรกิจของมิสเตอร์ บัน จะสามารถขยายสาขาได้ราว 400-500 สาขาทั่วประเทศ และมิสเตอร์ บัน ยังต้องการปรับสัดส่วนระหว่างสาขาของบริษัทฯและกลุ่มธุรกิจแฟรนไชส์ จากปัจจุบัน บริษัท 85%:แฟรนไชส์ 25% ให้เป็นบริษัท 20% และแฟรนไชส์ 80% โดยตั้งเป้าไว้ภายใน 5 ปี
