ss มาเช็คสัญญาณเตือนถึงเวลาที่ต้องลาออกจากที่ทำงาน - อาชีพเสริมแก้จน

ติดต่อโฆษณา

มาเช็คสัญญาณเตือนถึงเวลาที่ต้องลาออกจากที่ทำงาน

สวัสดีอีกครั้งครับทุกท่าน  บทความต่อไปนี้อาจจะไม่ค่อยเกี่ยวข้องโดยตรงกับการแนะนำอาชีพเสริมหรืออาชีพอิสระ แต่จะเกี่ยวข้องโดยทางอ้อมและจะกลายมาเป็นทางตรงทันทีหลังจากที่ได้ตัดสินใจรีไทร์ตัวเองออกจากงานประจำ และจะเริ่มมองหาอาชีพอิสระที่เป็นนายของตัวเอง หรือมองหาลู่ทางในการประกอบธุรกิจที่ไม่ต้องเป็นลูกจ้างใคร ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น ลองมาดูสัญญาณเตือนที่บอกว่าถึงเวลาที่จะต้องลาออกแล้วนั้นจะเป็นอย่างไร ความรู้สึกของเพื่อน ๆ จะตรงกับข้อไหนบ้างหรือเปล่ามาดูกันครับ


อาชีพอิสระอาชีพเสริม

4 สัญญาณเตือนสำหรับมนุษย์เงินเดือนว่าถึงเวลาลาออกจากที่ทำงานแล้วหรือยัง

ชีวิตของการทำงานเป็นลูกจ้างแม้ว่าจะไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงเหมือนอย่างที่เจ้าของกิจการทุกๆ คนจะต้องเผชิญ แต่ก็เผชิญกับปัญหาที่ไม่น้อย ด้วยความที่ไม่มีอิสระ การที่ต้องทำงานอยู่ภายใต้คำสั่งของคนอื่นๆ กฎระเบียบต่างๆ ที่มากมาย การเดินทางที่แสนลำบาก ก็อาจทำให้ชีวิตของลูกจ้างนั้นอาจไม่ได้เรียบง่ายกว่าชีวิตของผู้ประกอบการเสมอไป ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะพอใจและยอมรับกับสภาพเหล่านี้ได้ เพราะหากใครได้งานที่เหมาะสมกับตัวเองก็คงไม่มีปัญหา แต่ถ้าหากไม่ใช่แล้วก็คงยากที่จะทำงานทุกวันได้อย่างมีความสุข และอะไรล่ะที่เป็นสัญญาณบอกเราได้บ้างว่างานที่เรากำลังทำอยู่ทุกวันนี้เหมาะกับเราหรือไม่ แล้วเมื่อไรถึงเราถึงจะได้ฤกษ์บอกลางานที่เรากำลังทำอยู่สักที

1. Work Life ไม่ Balance 

การใช้ชีวิตให้มีความสุขนั้นอาจเริ่มต้นได้จากการแบ่งเวลาให้กับการทำงาน และการใช้ชีวิตได้อย่างลงตัว ถ้างานที่เรากำลังทำอยู่นั้นทำให้เราไม่มีเวลาว่างเพียงพอสำหรับการพักผ่อน หรือเวลาสำหรับเข้าสังคมบ้างเลย เช่น งานที่ต้องทำเกินเวลาจนต้องเลิกงานดึกๆ หรืองานที่ต้องทำ 7 วันต่ออาทิตย์โดยที่ไม่มีวันหยุดเลยแบบนี้

ถึงแม้หลายคนจะบอกว่ามีความสุขกับการทำงานก็ตาม แต่การทำงานอย่างนี้โดยเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตามก็จะทำให้เราเสียสุขภาพจนไม่สามารถแสดงศักยภาพในการทำงานออกมาได้เต็มที่อยู่ดี ต่างจากงานที่ไม่หนักมาก และมีเวลาให้เราได้พักผ่อนเพียงพอ เราก็จะสามารถทำงานนั้นออกมาได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างแน่นอน

2. เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์กร

เป็นเรื่องปกติที่เมื่อเราทำงานอยู่ในองค์กรแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง เช่น เปลี่ยนผู้บริหาร เปลี่ยน CEO ขององค์กร เปลี่ยนหัวหน้าทีม หรือแม้กระทั่งการที่ต้องเห็นเพื่อนร่วมงานลาออก และมีการรับคนเข้ามาใหม่อยู่บ่อยๆ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้บางครั้งก็อาจทำให้ชีวิตการทำงานของเราดีขึ้นถ้าหากเรายังสามารถปรับวิธีการทำงานให้เข้ากับคนเหล่านี้ได้ แต่บ่อยครั้งที่การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้กลับมีผลกับชีวิตเรามากเหลือเกิน

ตัวอย่างเช่นถ้าหากองค์กรของเรานั้นมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร โดยผู้บริหารคนใหม่นั้นก็มีนโยบายของบริษัทใหม่ๆ อย่างการลดจำนวนพนักงานลงเนื่องจากค่าแรงที่สูงขึ้น จึงพยายามที่จะใช้พนักงานในปริมาณเท่าที่มีอยู่ในการทำงานปริมาณเท่าเดิม ทำให้ผลที่ตามมาคือพนักงานหนึ่งคนจะต้องรับผิดชอบงานที่มากขึ้นในส่วนของคนที่ลาออกไป เป็นต้น ซึ่งเหตุการณ์ในลักษณะนี้นั้นเราควรที่จะย้อนกลับมาถามตัวเองก่อนว่า สมมุติถ้าหากตอนนี้เราเข้ามาสัมภาษณ์งานที่นี่อีกครั้ง โดยที่เรารู้ว่าจะต้องทำงานหนักในระดับนี้ ด้วยอัตราเงินเดือนเท่านี้ เราจะยังรับข้อเสนอนี้ได้อยู่หรือไม่?  

3. หมดความสนใจในงานที่ทำแล้ว

ในช่วงที่เราเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ นั้นก็มักจะมีความทะเยอทะยานในการทำงานสูง ทุกอย่างคือของใหม่ที่น่าสนใจ น่าเรียนรู้ แต่อยู่ไปสักพักหลายคนก็พบว่าตัวเองนั้นตกอยู่ในสภาพทำสิ่งเดิมๆ ซ้ำๆ จนไม่มีอะไรท้าทายอีกต่อไปแล้ว บางคนรับได้กับการทำอะไรเดิมๆ ซ้ำๆ แต่สำหรับบางคนที่กำลังมองหาสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอคงรู้สึกไม่อยากทำงานอีกต่อไปเพราะไม่มีอะไรใหม่ๆ ให้เราได้เรียนรู้อีกต่อไปแล้ว โดยอาการของคนที่หมดความสนใจในงานไปแล้วสามารถดูได้จากความรู้สึกที่ไม่อยากไปทำงานเลยสักวัน เลื่อนนาฬิกาปลุกวันละ 3-4 รอบแม้จะรู้ตัวว่าจะต้องไปทำงานสายแน่นอน พอไปถึงออฟฟิศก็ไม่มีความกระตือรือร้นที่จะทำงานเพราะเห็นว่าเป็นแค่งานง่ายๆ ซ้ำๆ ไม่มีอะไรใหม่ทุกวัน จนไปถึงความรู้สึกที่ไม่กลัวการถูกไล่ออกอีกต่อไปแต่ยังแอบดีใจลึกๆ ถ้าต้องโดนไล่ออกด้วย

4. อัตราการก้าวหน้าและอำนาจการตัดสินใจต่ำ

ในข้อนี้เราต้องมั่นใจก่อนว่าเราเป็นคนที่ความสามารถ และมีผลงานมากเพียงพอที่จะมีส่วนช่วยให้องค์กรที่เราทำอยู่นั้นประสบความสำเร็จ ซึ่งถ้าเราอยู่ในเกณฑ์ที่ว่าแล้วยังไม่ได้รับการปรับตำแหน่งที่เป็นธรรม หรือมีการรับปากจากทางองค์กรว่าจะมีการปรับตำแหน่ง แต่สุดท้ายก็ได้แต่เลื่อนออกไปอยู่เสมอ รวมไปถึงเมื่อถึงเวลาประชุมที่ทุกคนมีสิทธิแสดงความเห็นแล้ว เสียงของเรากลับไม่มีความหมายกับผู้บริหารเลยแม้แต่น้อยก็ต้องมานั่งคิดแล้วล่ะว่าตัวเราเองที่ยังทำงานไม่ดีพอ หรือตัวองค์กรที่ไม่เห็นคุณค่าของเรา ซึ่งถ้าเป็นอย่างหลังแล้วล่ะก็ นี่ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่ชัดเจนในการลาออกแล้วล่ะ


หัวใจสำคัญของบทความนี้นั้นอาจไม่ใช่แค่การมองหาสัญญาณเพื่อลาออก แต่อยู่ที่คำถามต่อไปว่าหลังจากที่เราลาออกแล้วเราจะมองหาอะไรต่อ? หลายคนลาออกมาเพราะไม่ชอบงานที่ทำ เพราะเจอข้อเสียต่างๆ จึงเลือกที่จะลาออกโดยลืมคิดไปว่าไม่มีอะไรรับรองได้เลยว่าในการหางานครั้งใหม่เราจะไม่เจอปัญหาแบบเดิมๆ อีก หรือจะไม่เจอปัญหาใหม่ๆ ที่ทำให้เราไม่พอใจอีกหรือไม่ การลาออกเพื่อหนีปัญหานั้นคงเหมือนกับการเดินถอยหลังแบบไม่มีจุดหมาย 

ต่างกับคนที่ต้องการจะก้าวต่อไปข้างหน้า โดยคนกลุ่มนี้จะเหตุผลที่ชัดเจนว่าลาออกเพื่ออะไร และมีการวางแผนชีวิตอย่างไรในอนาคต ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็มักจะมองหาทางเลือกใหม่ๆ อย่างงานที่ท้าทายความสามารถมากกว่าเดิม ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่อยากเรียนรู้มาตลอด หรืองานที่มี Career path ที่ดีกว่าเดิม หรืออีกทางหนึ่งก็คือเลือกที่จะเดินออกมาทำตามความฝันโดยการเริ่มต้นธุรกิจเป็นของตัวเอง ทำให้สัญญาณในการลาออกทั้งหมดนี้เป็นแค่เพียงจุดเริ่มต้นของนักธุรกิจหลายๆ คนที่ประสบความสำเร็จ และเป็นจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เราเป็นผู้กำหนดเองว่าสุดท้ายแล้วเราจะเลือกเดินอย่างไร

ผมมีแนวทางการทำธุรกิจออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จและสามารถสร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้กับเพื่อน ๆ ทุกท่านฟรี !! ลงทะเบียนศึกษาข้อมูลได้ที่ >> http://bit.ly/VlQp81

หรือติดต่อเข้าร่วมธุรกิจกับผมโดยตรงที่ 084-8105547 (รัชพงศ์)
ติดตามผมได้ที่ https://www.facebook.com/Im.rutchapong



ไปหน้าแรก   อาชีพอิสระแก้จน




เรียบเรียงบทความจาก www.incquity.com/articles/4-signs-you-should-resign

ธุรกิจขายสมุดโน้ตเงินล้านออนไลน์ Amazon KDP

ธุรกิจขายสมุดโน้ตเงินล้านออนไลน์ Amazon KDP
E-book “คำภีร์ขายสมุดโน้ตเงินล้านออนไลน์ ลงทุน 0 บาท สำหรับมือใหม่”
Back To Top